คดียาสู้อย่างไรให้หลุด ???

กฎหมายยาเสพติด

 รู้หรือไม่?       

         คดียาเสพติดให้โทษเป็นคดีที่ขึ้นสู่ศาลมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะเป็นคดีตามนโยบายของภาครัฐที่มุ่งปราบปรามปัญหายาเสพติด และคดีประเภทนี้เป็นคดีที่สู้ยากที่สุดเพราะพยานส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งถือเป็นพยานโดยอาชีพต้องขึ้นศาลอยู่เป็นประจำมีความชำนาญในการเบิกความ คำถามประเภทไหนตอบแล้วเสียเปรียบก็จะเลี่ยงในการตอบคำถาม และยังเป็นคดีที่มีการจับแพะมากที่สุด

          การที่จะสู้ให้ศาลยกฟ้องตั้งแต่ศาลชั้นต้นก็เป็นเรื่องยากและมีจำนวนน้อยอาจต้องสู้จนถึงศาลฎีกากว่าศาลจะตัดสินให้ยกฟ้อง ซึ่งอาจเพราะประสบการณ์ในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษายังมีไม่มาก การขอประกันตัวในคดียาเสพติดก็ยาก ในคดีที่กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้ค้ายารายใหญ่และของกลางมีเป็นจำนวนมากจำเลยแทบไม่มีโอกาสได้รับการประกันตัวเลย เพราะเจ้าหน้าที่ก็เกรงว่าจำเลยจะหลบหนีและตนเองอาจจะเดือดร้อนได้

         การจะต่อสู้คดีจึงต้องอาศัยการศึกษาแนวทางในการวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาว่ามีแนวทางในการตัดสินให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยตัวจำเลยว่าอย่างไรบ้าง ซึ่งคำพิพากษาเหล่านี้มีการเผยแพร่น้อย ผมต้องกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ได้เผยแพร่และประสาทความรู้แก่ผู้เขียนไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย       

ปรึกษาทนายคดียาเสพติด ถูกจับคดียาเสพติดครั้งแรก

         เปิดอัตราโทษคดียาเสพติด ตามก.ม.ใหม่

         ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครอง เกินกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนด


         
ความหมาย ของการมีไว้ในครองครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ หรือวัตถุออกฤทธิ์นั้น ประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้กำหนดบทนิยามหรือคำจำกัดความไว้ จึงต้องถือตามความหมายของกฎหมายทั่วไปว่า “ผู้นั้นมียาหรือวัตถุออกฤทธิ์อยู่ในความครอบครองและผู้นั้นยึดถือยาหรือวัตุออกฤทธิ์เพื่อตน และต้องรู้ด้วยว่าสิ่งนั้นเป็นยาหรือวัตถุออกฤทธิ์”

         คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๓/๒๕๔๓  จำเลยเป็นเพียงผู้รับฝากเฮโรอีนจาก ล. นำไปให้ ส. และ อ. การที่จะลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ก็ต่อเมื่อรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าห่อของที่นำไปให้ ส. และ อ. เป็นเฮโรอีนเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยยืนเฉยๆไม่ได้วิ่งไปไหน ทั้งปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง จึงเห็นได้ว่า หากจำเลย รู้ว่าห่อของที่จำเลยรับฝากเป็นเฮโรอีนแล้ว โดยสัญชาตญาณจำเลยคงวิ่งหนีไปไม่ยอมให้จับกุม การที่จำเลยมิได้หลบหนีจึงอาจเป็นไปได้ว่าจำเลยไม่รู้ว่าห่อของที่นำมาให้ ส. และ อ. เป็นเฮโรอีน ประกอบกับโจทก์มิได้นำสืบ ให้เห็นว่าจำเลยได้เกี่ยวข้อง เป็นผู้ร่วมจำหน่ายเฮโรอีนกับ ล.ด้วยหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด

          ตามคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการถามค้านเจ้าพนักงานผู้จับกุม และนำสืบพยานว่าจำเลยไม่เคยมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าจำเลยจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองยาเสพติดหรือไม่ เป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องคดีนี้

กฎหมายยาเสพติด คดียาเสพติด

             ความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ สารระเหย

            แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลตัดสินยกฟ้อง โดยถือว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังมีข้อสงสัยอยู่ตามสมควร

           1 โจทก์ไม่นำสายลับมาเบิกความ และตำรวจผู้ทำการจับกุมก็ไม่เห็นการซึ้อขายยาเสพติด 

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๙๔๔/๒๕๕๑ พยานโจทก์ทั้งสองไม่เห็นการล่อซื้อระหว่างสายลับกับจำเลยที่หนึ่ง คงได้ยินเสียงทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่อ้างว่าสายลับโทรศัพท์เข้ามาและมีชายสองคน พูดต่อรองราคาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น ซึ่งไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นการเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีน ระหว่างสายลับกับจำเลยที่หนึ่ง ทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางก็ได้จากสายลับหาได้ค้นได้ที่จำเลยที่หนึ่งไม่ และไม่ปรากฏว่าค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ที่จำเลยที่หนึ่งแต่อย่างใด ส่วนเงินที่ค้นได้จากที่เกิดเหตุก็ไม่เกี่ยวข้องกับการล่อซื้อในครั้งนี้ คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่หนึ่งในชั้นสอบสวน เป็นเพียงพยานบอกเล่าที่มีน้ำหนักรับฟังได้น้อย เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความยืนยันว่าซื้อเมตร แอมเฟตามีนของกลางได้จากจำเลยที่หนึ่ง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่หนึ่งจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน พิพากษายกฟ้องโจทก์

           วิเคราะห์ คดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจาก
           1  โจทก์ไม่นำสายลับที่อ้างว่าซื้อยาจากจำเลยมาเบิกความต่อศาล เนื่องจากสายลับเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์การกระทำผิดโดยตรง เป็นเหตุให้จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านสายลับรายนี้

            2 ทนายจำเลยถามค้านตำรวจผู้ทำการจับกุมไม่ได้เห็นการซื้อขายยาโดยตรง เพียงแต่ได้ยินเสียงทางโทรศัพท์ ซึ่งก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นผู้จำหน่ายยา

            3 เมทแอมเฟตามีนของกลางก็ได้จากสายลับ ไม่ได้ค้นเจอจากจำเลย

            4 เงินที่ใช้ทำการล่อซื้อ (เบอร์แบงค์) ก็ไม่ได้อยู่ที่จำเลยแต่อย่างใด ส่วนเงินค้นได้จากที่เกิดเหตุก็ไม่เกี่ยวข้องกับการล่อซื้อในครั้งนี้

           2 เจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความต่อศาลว่าสืบทราบมาก่อนว่าจำเลยจำหน่ายยาบ้า แต่ก็มิได้ระบุชื่อจำเลยไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี จึงเป็นข้อพิรุธสงสัย

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่๒๙๗๖/๒๕๔๕ การที่เจ้าพนักงานตำรวจ สืบทราบมาก่อนว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติด ก็น่าจะระบุชื่อจำเลยไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ให้สมกับที่ใช้เป็นพยานหลักฐานทางคดี เพื่อเอาผิดแก่จำเลย และการที่เจ้าพนักงานตำรวจไปซุ่มดูการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดหลายคน แต่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์เพียงคนเดียว แสดงว่าฝ่ายเจ้าพนักงานตำรวจประสงค์จะให้มีประจักษ์พยานเพียงคนเดียว ส่อว่าเกรงจะถูกตรวจสอบโดยการถามค้านของทนายจำเลย คำเบิกความของพยานเดียวเช่นนี้จึงมีน้ำหนักน้อย

          วิเคราะห์ เหตุที่ศาลพิพากษายกฟ้อง 

         1 โจทก์อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมจับกุมจำเลยหลายคน แต่กลับมีตำรวจเพียงรายเดียว ซุ่มดูการซื้อขายยาเสพติด เป็นข้อพิรุธว่า โจทก์ประสงค์ให้มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ เพียงคนเดียวเป็นพยานเดี่ยว เพื่อที่จะไม่ต้องนำพยานคนอื่นหลายคนมาเบิกความ เพราะเกรงว่าจะถูกตรวจสอบโดยการถามค้านของทนายจำเลย

          2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ เบิกความว่า สืบทราบ ล่วงหน้า มาก่อนแล้วว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติด แต่ในบันทึก การสอบสวน กลับไม่ได้ระบุชื่อจำเลย จึงเป็นข้อสงสัยว่าจะมีการสืบทราบมาก่อนจริงหรือไม่ 

          3 ธนบัตรที่อ้างว่าใช้ในการล่อซื้อ ไม่ได้ทำเครื่องหมายหรือตำหนิใดๆ ไว้เป็นพิเศษเพื่อให้แตกต่างกับธนบัตรธรรมดาทั่วไป เพื่อบ่งบอกว่าเป็นธนบัตรที่ใช้ในภารกิจการล่อซื้อไว้โดยเฉพาะ จึงมีน้ำหนักน้อยรับฟังไม่ได้

         3 การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความบกพร่อง จึงเป็นข้อพิรุธสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่

         คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๐๗/๒๕๔๓ โจทก์ไม่มีสายลับ ที่อ้างว่าเป็นผู้เข้าไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยมาเป็นพยาน จำเลยย่อมเสียเปรียบไม่มีโอกาสซักค้านพยานโจทก์เพื่อให้ข้อเท็จจริงกระจ่างชัด และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็มิได้มีเครื่องหมายหรือตำหนิใดๆ อันจะเป็นเครื่องบ่งบอกได้ว่าเป็นธนบัตรที่ใช้ในภารกิจนี้โดยเฉพาะ ย่อมเป็นการง่ายที่จะกระทำให้เกิดขึ้นในภายหลัง คำเบิกความของพยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ พิพากษายกฟ้อง

          วิเคราะห์ เหตุที่ศาลพิพากษายกฟ้อง 

          1 โจทก์ไม่นำสายลับที่อ้างว่ารู้เห็นการจำหน่ายยาเสพติดของจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน เป็นการเอาเปรียบจำเลยเพราะทำให้ทนายจำเลยไม่มีโอกาสถามค้านสายลับ

          2 ทนายจำเลยถามค้าน ตำรวจผู้ทำการจับกุม ถึงตำหนิรูปพรรณของสายลับ ปรากฏว่าตำรวจก็ไม่สามารถตอบได้  

          3 ธนบัตรที่ใช้ทำการล่อซื้อไม่ได้ทำตำหนิ หรือลงบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีบันทึกหมายเลขธนบัตรไว้ (เบอร์แบงค์) ไว้ก่อนทำการจับกุม  จึงเป็นข้อพิรุธสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่

เพิ่มเพื่อน

ทนายฝัน 080 250 5021

1 comment

Comments are closed.